การตัดสินใจจ้างบริษัทรับออกแบบตกแต่งภายใน ถือเป็นการลงทุนที่สำคัญและคุ้มค่าสำหรับการสร้างสรรค์พื้นที่ใช้สอย ไม่ว่าจะเป็นที่อยู่อาศัยหรือพื้นที่เชิงพาณิชย์ การมีผู้เชี่ยวชาญเข้ามาช่วยดูแลตั้งแต่ต้นจนจบ จะช่วยให้ความฝันของคุณเป็นจริงได้ตามงบประมาณและเวลาที่กำหนด
อย่างไรก็ตาม การจะได้รับผลลัพธ์ที่ตรงใจนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความสามารถของนักออกแบบเพียงฝ่ายเดียว แต่ต้องอาศัยการทำงานร่วมกันอย่างเข้าใจระหว่างคุณกับนักออกแบบ บทความนี้รวบรวม 8 แนวทางสำคัญ เพื่อให้คุณสามารถเตรียมตัวและทำงานร่วมกับนักออกแบบได้อย่างราบรื่นที่สุด
8 ข้อควรรู้ เพื่อการทำงานร่วมกับบริษัทออกแบบตกแต่งภายในอย่างมั่นใจ
คู่มือนี้จะช่วยให้คุณควบคุมทิศทางการออกแบบได้ตามความคาดหวัง และลดความเสี่ยงเรื่องงบประมาณบานปลายจากการสื่อสารที่คลาดเคลื่อน
1. กำหนด ความต้องการ สไตล์ และงบประมาณ ให้ชัดเจน
ก่อนจะเดินเข้าไปปรึกษาบริษัทรับตกแต่งภายใน คุณจำเป็นต้องทำความเข้าใจความต้องการของตัวเองอย่างลึกซึ้งเสียก่อน
1.1 ระบุวัตถุประสงค์และการใช้งานหลัก
คุณต้องอธิบายได้ว่าพื้นที่นี้จะถูกใช้งานอย่างไร ใครคือผู้ใช้งานหลัก และมีกิจกรรมอะไรบ้างเกิดขึ้นในพื้นที่นั้น
1.2 รวบรวมแรงบันดาลใจ (Mood Board)
อย่าเพียงแค่บอกนักออกแบบว่าชอบสไตล์โมเดิร์น แต่ควรเตรียมเรฟเฟอเรนซ์ มาประกอบการอธิบายด้วย อธิบายให้ละเอียดว่าคุณชอบโทนสี พื้นผิว วัสดุ หรือบรรยากาศในภาพนั้น ๆ
1.3 กำหนดช่วงงบประมาณ
นี่คือจุดที่สำคัญที่สุด! การบอกงบประมาณที่ตั้งไว้ตั้งแต่ต้น (เช่น 2-2.5 ล้านบาท) จะช่วยให้นักออกแบบสามารถคัดเลือกวัสดุและออกแบบฟังก์ชันที่เหมาะสมกับกำลังซื้อของคุณได้ทันที ช่วยลดการแก้ไขแบบที่ไม่จำเป็น และป้องกันปัญหางบประมาณบานปลาย
นักออกแบบที่มีประสบการณ์ จะสามารถให้คำแนะนำเพื่อจัดสรรงบประมาณ ได้อย่างแม่นยำที่สุด โดยเน้นลงทุนในส่วนที่จำเป็นและมีอายุการใช้งานยาวนาน
2. ตรวจสอบความเชี่ยวชาญและผลงานของบริษัทฯ
เมื่อมีข้อมูลในใจแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการคัดเลือกบริษัทรับตกแต่งภายในที่มีความน่าเชื่อถือและตอบโจทย์งานของคุณ
2.1 เน้นดู Portfolio ที่หลากหลายและตรงกับประเภทงาน
ความเชี่ยวชาญ: หากคุณต้องการรับออกแบบตกแต่งภายในออฟฟิศ ควรเลือกบริษัทฯ ที่มีผลงานออฟฟิศ หรือถ้าต้องการ รับออกแบบร้านอาหาร ต้องดูว่าเขามีความเข้าใจเรื่องครัวเชิงพาณิชย์และมาตรฐานสุขอนามัยหรือไม่
ความสม่ำเสมอของผลงาน: ผลงานที่แสดงต้องมีความสม่ำเสมอในด้านความเรียบร้อยของการก่อสร้างและการเลือกใช้วัสดุที่มีมาตรฐาน ไม่ใช่แค่สวยงามในภาพ 3D เท่านั้น
2.2 ตรวจสอบความน่าเชื่อถือและการจดทะเบียน
บริษัทฯ ควรมีการจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย มีที่ตั้งสำนักงานชัดเจน และมีบุคคลที่สามารถติดต่อประสานงานได้ง่าย การอ่านรีวิวจากลูกค้าเก่าถือเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญในการประเมินความรับผิดชอบหลังการส่งมอบงาน
2.3 ขั้นตอนการทำงานที่เป็นระบบ
บริษัทมืออาชีพจะต้องมีขั้นตอนการทำงานที่ชัดเจน ตั้งแต่การรับบรีฟ การนำเสนอแนวคิด (Conceptual Design) การออกแบบ 3D การเขียนแบบก่อสร้าง การเสนอราคาวัสดุ (BOQ), ไปจนถึงการควบคุมงานติดตั้ง การทำงานเป็นระบบนี้จะช่วยให้โครงการไม่สะดุดและลดความเข้าใจผิด
3. เปิดเผยข้อมูลพื้นที่ ให้ครบถ้วนและเป็นจริง
นักออกแบบต้องการข้อมูลจริงเพื่อวางแผนที่แม่นยำ การปกปิดหรือให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องจะนำไปสู่การแก้ไขงานและค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในภายหลัง
3.1 เตรียมเอกสารทางเทคนิค
- มอบแปลนพื้นที่ฉบับจริง (CAD หรือ PDF ที่มีมิติ) ที่ได้จากโครงการหรือสถาปนิก
- ระบุจุดติดตั้งระบบไฟฟ้า ระบบประปา และระบบปรับอากาศเดิมที่มีอยู่
- แจ้งข้อจำกัดหรือกฎระเบียบของโครงการ เช่น ข้อจำกัดการต่อเติม ช่วงเวลาการทำงานของช่าง เพื่อให้นักออกแบบ สามารถออกแบบที่ไม่ขัดต่อกฎของนิติบุคคล
3.2 ใช้ภาษาแห่งฟังก์ชันในการสื่อสาร
แทนที่จะบอกว่า “ต้องการห้องที่สวย” ให้พูดว่า “ผมต้องการพื้นที่นั่งทำงานที่สามารถรับแสงธรรมชาติได้ในช่วงเช้า และมีช่องเก็บเอกสารที่ไม่เปิดเผย” การสื่อสารที่เน้นฟังก์ชันแทนสไตล์ จะช่วยให้นักออกแบบตีโจทย์ได้ตรงประเด็นมากขึ้น
4. ร่วมแก้ไขแบบด้วยใจเปิดกว้างและรวดเร็ว
4.1 เคารพความเป็นมืออาชีพ
จำไว้ว่าคุณจ้างบริษัทรับตกแต่งภายใน เพราะพวกเขาคือผู้เชี่ยวชาญในการผสมผสานความสวยงามเข้ากับความเป็นไปได้ทางวิศวกรรม หากนักออกแบบแนะนำให้เปลี่ยนวัสดุหรือปรับฟังก์ชันเนื่องจากข้อจำกัดทางเทคนิคหรืองบประมาณ ควรรับฟังด้วยความเข้าใจ
4.2 การตัดสินใจที่รวดเร็ว
เมื่อนักออกแบบส่งแบบร่างหรือตัวเลือกวัสดุมาให้พิจารณา คุณควรให้ข้อสรุปหรือข้อเสนอแนะที่ชัดเจนภายในระยะเวลาที่กำหนด เพราะความล่าช้าในการตัดสินใจเพียงเล็กน้อยอาจส่งผลให้โครงการทั้งหมดล่าช้าได้หลายสัปดาห์ โดยเฉพาะในขั้นตอนการสั่งซื้อเฟอร์นิเจอร์หรือวัสดุเฉพาะ
5. จัดทำสัญญาที่รัดกุมและเข้าใจรายละเอียด
สัญญาคือเครื่องมือที่สร้างความโปร่งใสและปกป้องทั้งสองฝ่าย
5.1 ตรวจสอบขอบเขตงาน (Scope of Work – SOW)
ต้องระบุให้ชัดเจนว่างานออกแบบครอบคลุมอะไรบ้าง เช่น งานผัง งาน 3D งานระบบไฟฟ้า/ประปา, งานควบคุมการก่อสร้าง หากมีส่วนไหนที่คุณจะทำเอง เช่น การจัดซื้อเฟอร์นิเจอร์ลอยตัว ต้องระบุไว้ในสัญญาเพื่อป้องกันความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน
5.2 รายละเอียดวัสดุและการประมาณราคา (BOQ – Bill of Quantities)
BOQ ต้องระบุชื่อวัสดุ แบรนด์ รุ่น และจำนวน/ขนาดอย่างละเอียด โดยไม่ใช้คำว่าหรือเทียบเท่า โดยไม่มีข้อกำหนดที่ชัดเจน เพื่อให้คุณมั่นใจว่าจะได้รับวัสดุที่มีคุณภาพตรงตามที่ตกลงไว้ โดยเฉพาะในงานบิวท์อินรับตกแต่งร้านค้า หรือรับออกแบบร้านอาหาร ที่วัสดุต้องมีความทนทานต่อการใช้งานเชิงพาณิชย์
5.3 เงื่อนไขการชำระเงินและการรับประกัน (Payment and Warranty)
กำหนดงวดการชำระเงินที่ผูกติดกับความคืบหน้าของงานจริง และต้องมีเงื่อนไขการรับประกันงานติดตั้งที่ชัดเจน เช่น 1 ปี เพื่อสร้างความสบายใจให้กับผู้ว่าจ้าง
6. เข้าใจการควบคุมงาน ไม่ใช่การสั่งการ
หน้าที่ของคุณคือการตรวจสอบว่างานเป็นไปตามแบบที่ตกลงไว้ ไม่ใช่การเข้าไปสั่งช่างให้ทำนอกเหนือจากแบบที่นักออกแบบกำหนด
- กำหนดช่วงเวลาเข้าตรวจ ตกลงกับบริษัทรับตกแต่งภายในว่าคุณจะเข้าตรวจงานในช่วงไหนบ้าง เช่น หลังรื้อถอน หลังงานโครงสร้างบิวท์อิน ก่อนงานสี ติดตั้งไฟ และควรเข้าตรวจพร้อมกับนักออกแบบหรือผู้ควบคุมงานของบริษัทฯ เสมอ
- หากต้องการแก้ไขงานที่หน้าไซต์ ต้องแจ้งผ่านนักออกแบบเพื่อประเมินผลกระทบต่อโครงสร้างและงบประมาณอย่างเป็นทางการ การเปลี่ยนแปลงโดยตรงกับช่างอาจทำให้เกิดความผิดพลาดในระบบและงบประมาณบานปลาย
7. ใส่ใจการเลือกอุปกรณ์และเฟอร์นิเจอร์ที่มีฟังก์ชัน
ในการออกแบบพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นการรับตกแต่งภายในบ้าน หรือโครงการเชิงพาณิชย์ เฟอร์นิเจอร์และอุปกรณ์เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้พื้นที่สมบูรณ์แบบ
- ให้ความสำคัญกับการเลือกใช้ระบบฟิตติ้งของเฟอร์นิเจอร์บิวท์อินที่ทนทาน เช่น รางลิ้นชักที่รับน้ำหนักได้มาก บานพับแบบ Soft-Close ที่มีความแข็งแรง หรือกลไกเปิด-ปิดตู้เหนือศีรษะที่ใช้งานง่าย สิ่งเหล่านี้จะช่วยเพิ่มอายุการใช้งานของเฟอร์นิเจอร์ในระยะยาว
- เน้นวัสดุที่มีผิวสัมผัสทำความสะอาดง่ายและทนทานต่อการใช้งาน เพื่อให้พื้นที่ยังคงดูดีและลดภาระในการดูแลรักษา
8. ตรวจสอบและแก้ไขรายการบกพร่องก่อนส่งมอบ
ขั้นตอนสุดท้ายคือการรับมอบงาน ซึ่งคุณจะต้องละเอียดรอบคอบเป็นพิเศษ
8.1 การทำรายการแก้ไขงาน
- เดินตรวจงานทั้งหมดอย่างละเอียดพร้อมนักออกแบบ โดยเน้นไปที่ความเรียบร้อยของงานสี รอยต่อของบิวท์อิน การติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้า และการทำงานของระบบน้ำ/ไฟ
- รวบรวมรายการบกพร่อง (Defect) ทั้งหมดในเอกสารชุดเดียวและกำหนดกรอบเวลาที่ชัดเจนสำหรับการแก้ไข
8.2 การรับมอบเอกสาร
เมื่อชำระเงินงวดสุดท้ายแล้ว คุณควรได้รับเอกสารสำคัญดังนี้
- แบบก่อสร้างฉบับสมบูรณ์
- รายละเอียดและแคตตาล็อกวัสดุและอุปกรณ์ที่ติดตั้ง
- เอกสารการรับประกันงาน ทั้งงานออกแบบ งานติดตั้ง และอุปกรณ์ที่ซื้อผ่านบริษัทฯ
การมอบเอกสารเหล่านี้แสดงถึงความเป็นมืออาชีพและความรับผิดชอบของบริษัทรับตกแต่งภายใน อย่างแท้จริง ช่วยให้คุณมั่นใจในการซ่อมบำรุงในอนาคต
ไอเดค ดีไซน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านออกแบบภายในที่เข้าใจคุณ
เราเข้าใจทุกความท้าทายในการทำงานร่วมกับลูกค้า เราใช้หลักการทำงานที่เน้นความโปร่งใสและระบบการทำงานแบบมืออาชีพเพื่อให้คุณมั่นใจได้
- ทีมงานของเราประกอบด้วยนักออกแบบและวิศวกรที่มีประสบการณ์ในการรับออกแบบตกแต่งภายในหลากหลายประเภทโครงการ เราสามารถเปลี่ยนบรีฟของคุณให้เป็นแบบ 3D ที่แม่นยำและเป็นไปได้จริง
- เรามีผลงานที่ได้รับการยอมรับมากมาย ทั้งในโครงการที่อยู่อาศัยและเชิงพาณิชย์ ซึ่งสะท้อนถึงความสามารถในการออกแบบและควบคุมงานติดตั้งให้ได้มาตรฐาน
- เราให้ความสำคัญกับการทำ BOQ และสัญญาที่ชัดเจน มีการรับประกันงานติดตั้งหลังการส่งมอบ เพื่อให้คุณสบายใจตลอดระยะเวลาโครงการ
หากคุณกำลังมองหาบริษัทหรือผู้รับเหมาตกแต่งภายใน ที่พร้อมจะรับฟังความต้องการของคุณอย่างลึกซึ้ง และช่วยบริหารจัดการงบประมาณเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ตรงใจตามมาตรฐานสูงสุด ติดต่อ ไอเดค ดีไซน์ เพื่อเริ่มต้นการออกแบบพื้นที่ในฝันของคุณวันนี้
เราไม่เพียงแต่สร้างพื้นที่ แต่เราสร้างสรรค์ประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับผู้ใช้งาน


